เศรษฐกิจพอเพียง 89 โดย......นางเลิ้ง 312
สวัสดีครับ....พบกันอีกครั้งต่อจากฉบับที่แล้วที่ผมบอกว่าจะมาเล่าสู่กันฟังเรื่องกรณีตัวอย่างเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ทำเกษตรอินทรีย์และช่องทางวิถีการตลาดเกษตรอินทรีย์ในปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง
กรณีตัวอย่างแรก
คือ “แมน” หรือ ธนภัทร พันธ์สวัสดิ์ เด็กหนุ่มที่จบการศึกษาปริญญาตรีและกำลังเรียนปริญญาโทที่คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แมน เล่าให้ฟังว่า
“ผมเป็นเด็กเกษตรมาแต่กำเนิด เพราะปู่ย่าตายายเป็นเกษตรกร ตายายมีสวนทุเรียน มังคุดที่นนทบุรี ส่วนปู่ย่า เคยทำนาที่สุพรรณบุรี ตอนเป็นเด็ก ผมอยู่บ้านเดียวกับตายาย หลังบ้านเป็นสวนผลไม้นานาชนิด
แต่เน้นที่ทุเรียน มังคุด มะไฟและมะปราง
สมัยนั้น น้ำในท้องร่องใสสะอาดมาก
ว่ายน้ำได้เลย... ที่สวนเมืองนนท์ของตาจะมีการขุดท้องร่องประจำปี พวกเด็กต้องตื่นแต่เช้าเข้าไปช่วยงานในสวน จนกระทั่งอายุ 8 ขวบก็เป็นกำลังหลักรองจากตายายในการเก็บมังคุดและทุเรียน....ทุกปีช่วงมกราคมถึงมีนาคม ก่อนทุเรียนกับมังคุดจะออก
ต้นมะไฟจะออกลูกดกมากเหลืองอร่ามทั่วสวนเป็นพวงคล้ายองุ่น เวลาเก็บต้องออกแต่เช้ามืด
เพราะยายย้ำนักหนาว่า
ห้ามเก็บมะไฟถ้าพระอาทิตย์โดนลูกเพราะจะทำให้เปลือกดำหรือคล้ำไม่สวย”
“มาถึงช่วงหนึ่งความเป็นสวนก็ค่อยๆหายไป ลูกยายทุกคนรับราชการหมด หลังจากตาเสียก็ไม่มีคนช่วยดูแล ผมอยู่ชั้นมัธยม 5
รู้สึกเลยว่า
สวนค่อยๆแห้งแล้งเพราะธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก น้ำที่เคยลงไปอาบก็ใช้ไม่ได้แล้ว ต้นไม้ที่ปลูกมานาน ก็ทยอยตายลง ยายทำคนเดียวไม่ไหว คนงานก็หายากเพราะไม่มีใครอยากทำสวนแล้ว
ก็ปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าหรือขายกันไปหมด....ทำให้ผมคิดอยากจะทำอะไรก็ได้ที่จะให้สวนกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“ผมกลายเป็นเกษตรกรน้อยไปโดยไม่รู้ตัว
เริ่มจากการปลูกผักทุกอย่างที่ร้านค้าในตลาดจะมีเมล็ดพันธุ์ขายประกอบกับการเริ่มซ่อมต้นไม้ที่ตาย คอยรดน้ำดูแลรักษาโดยมีคุณครูชั้น ตะพานทองเป็นผู้ถ่ายทดวิชาทั้งรดน้ำ ถางหญ้า
เก็บทุเรียน และขายของ
จากนั้นผมก็เริ่มขยายจากเมล็ดพันธุ์ซองเป็นกระป๋อง ปลูกถั่วฝักยาว มียายเป็นครูใหญ่ พ่อเป็นพี่เลี้ยง แม่เป็นฝ่ายตลาด ปลูกรุ่นแรก 1 กระป๋องได้กำไร 500 บาท ดีใจมากครับ
ก็เพิ่มจากถั่วฝักยาวเป็นผักคะน้าด้วยเพื่อปลูกส่งร้านขายข้าวขาหมูแต่ได้รุ่นเดียวเท่านั้นครับ รุ่นต่อมาหนอนกินหมด ส่วนถั่วฝักยาวก็โดนเพลี้ยกิน ฉีดยาก็หายได้แป๊บเดียวก็มาใหม่ สุดท้ายเจ๊งครับ ทำให้ผมรู้สึกอยากเรียนเกษตร ผมเลือกคณะเกษตร 4 อันดับ “
(credit photo : http://articles.elitefts.com/wp-content/uploads/2011/03/organic.jpg)
“แต่ช่วงที่เกือบเสียสวนไปจริง คือ ตั้งแต่ปี 2549 ถึงปี 2550 หนอนด้วงยาวเจาะลำต้นทุเรียนระบาด ทุเรียนตายไปกว่า 70% ผมก็พยายามหาข้อมูลสอบถามอาจารย์กีฏวิทยา
แต่เนื่องจากรักษาช้าไป ต้นทุเรียนสูงมากและคุณครูชั้นไม่ให้ใช้สารเคมี แรงงานก็ไม่มี
จึงทำให้ทุเรียนตายไปมาก
แต่ยังไงก็ไม่ท้อครับ
หันมาปลูกกล้วยน้ำว้า
กล้วยหอมเพื่อรอเวลาทุเรียนโตบริเวณสวนหลังบ้าน....จากการที่อยากจะเป็นแบบอาจารย์หลายท่านที่ประสบความสำเร็จทางการเกษตร พอเรียนเสร็จแล้วก็กลับไปปฏิบัติจริงแบบล้มลุกคลุกคลาน ระหว่างที่เรียนปริญญาโทปีแรก
ผมกับหุ้นส่วนก็เปิดบริษัทหนึ่งในลักษณะส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรปลูกผักอินทรีย์แล้วบริษัททำการบรรจุผลิตภัณฑ์และจำหน่ายให้ผู้ส่งออก
โมเดิร์นเทรดและร้านสุขภาพทั่วไปโดยไม่มีแปลงเป็นของตัวเอง
ก็เป็นช่วงที่ผมมีความสุขเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่เราเรียนมาได้ใช้ประโยชน์มาก ช่วยเหลือเกษตรกรได้จริง ทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้น (แต่ปัจจุบันเลิกแล้วเพราะอุดมการณ์ของหุ้นส่วนเปลี่ยนไป)..... มาถึงวันนี้ สวนหลังบ้านบนเนื้อที่ 12 ไร่ที่จังหวัดนนทบุรี
กำลังจะพัฒนาเป็นศูนย์อนุรักษ์พันธุ์ทุเรียนนนท์
และมังคุดสวนนนท์ตลอดจนเป็นแปลงรวบรวมและพัฒนาสายพันธุ์มะละกอในอนาคต(ซึ่งเป็นพืชที่ผมทำวิทยานิพนธ์ด้วย) ในนาม “สวนของชั้น” แต่อาชีพหนึ่งที่ผมหารายได้มาใช้พัฒนาสวน
คือเป็นตัวแทนกลุ่มเกษตรกรส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์โดยบริหารจัดการในนาม
“สลันดา ออแกนิคฟาร์ม” เป็นศูนย์รวบรวมอยู่ที่นครปฐม
ซึ่งมีอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นเจ้าของแปลงและดำเนินงานตามรูปแบบเดิมของบริษัทเก่าที่ผมเคยทำ แต่ที่สำคัญคือมีแปลงเป็นของตัวเอง ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงพ่อค้าคนกลางอย่างเดียว
แปลงนี้เหมือนสถานที่ทดลองวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตพืชอินทรีย์
และสามารถคำนวณต้นทุนที่แท้จริงในการกำหนดราคาสินค้า ซึ่งผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเกษตรกร ผู้จัดจำหน่ายตลอดจนผู้บริโภค สิ่งที่มีค่ามากคื
ทีมงานบริหารสินค้าเกษตรอินทรีย์เป็นน้องจากคณะเกษตรที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน
โดยหวังว่า ถ้ากลุ่มเราได้รับการสนับสนุนจากผู้บริโภคและโตมากกว่านี้ เราจะมีทีมงานที่เป็นเด็กเกษตรทำงานกันอย่างมด
เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน คุณของครูอาจารย์ที่สั่งสอนเรามา ที่สำคัญและภูมิใจคือ
พวกเราเด็กเกษตรยังคอยดูแลกลุ่มเกษตรกรเดิม
ร่วมกันขยายกลุ่มผู้ปลูกผักอินทรีย์ออกไป”
(credit photo : https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTdpvBv-WBW0YCjf6MznI9Ui9TB4diVrAvHhJq4msY-BoHWgnz7)
“ความฝันของผมคือ
อยากให้อาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากทำเป็นอาชีพแรก หรือคณะแรกที่เด็กเลือก โลกและเทคโนโลยีพัฒนาควบคู่กับการเกษตรได้ แต่คนที่จะเข้าใจถึงสินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างแท้จริงและเข้าใจอาชีพนี้จริงจะต้องสัมผัสด้วยรูป
รส กลิ่น เสียงและใจ
เมื่อเราเข้าใจดีแล้ว
ธุรกิจเกษตรอินทรีย์เครือข่ายแบบแฟร์เทรดก็น่าจะเกิดได้ดีในสังคมไทย”
อีกกรณีตัวอย่างที่ตำบลหนองรี อำเภอเมืองชลบุรีคือ
“วิสาหกิจชุมชนสวรรค์สีเขียวหนองรี” หรือ GreenHeaven@NongRee ซึ่งก่อเกิดจากความคิดริเริ่มของคุณอนุรักษ์
เรืองรอบ ปริญญาเอกด้านบริหารธุรกิจจาก AIT และ คุณสมพร
ปัญญาเสถียรพงศ์
อดีตผู้สื่อข่าวและโปรดิวเซอร์ภาคสนามของสำนักข่าวระดับสากลมากว่า 15 ปี
ทั้งสองคนผันชีวิตมาเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัวโดยคุณอนุรักษ์มาซื้อที่ดินจำนวน
70 ไร่ตั้งแต่ปี 2549 และเริ่มรวมกลุ่มชาวบ้านที่สนใจทำเกษตรอินทรีย์โดยยึดแนวทางปฏิบัติเข้าสู่การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ IFOAM ทั้งนี้
คุณอนุรักษ์เป็นฝ่ายบริหารจัดการระบบการผลิต และประสานความร่วมมือของภาคีและมีคุณสมพรทำหน้าที่ด้านการตลาดกับประชาสัมพันธ์
คุณอนุรักษ์เล่าให้ฟังว่า
“เมื่อแรกที่เข้ามาเริ่มต้นก็เริ่มชวนชาวบ้านให้มาร่วมคิดร่วมคุยกันเป็นเดือนว่าจะทำอะไรดี
แต่ชาวบ้านบอกว่าอยากทำอะไรที่ง่ายๆได้เงินเร็วๆ ผมจึงต้องกลับไปนอนคิดนั่งคิด....เรามีที่ดิน ก็ต้องทำเกษตรแต่จะปลูกอะไรดีให้ได้ตามโจทย์ที่ชาวบ้านตั้งไว้ ก็เลยพาชาวบ้านไปดูงานตามที่ต่างๆ
ครั้งแรกไปที่บ้านดงบังเพื่อชวนปลูกสมุนไพรทำยาทำผลิตภัณฑ์สมุนไพรขาย แต่ชาวบ้านบอกว่า นานถึง 18 เดือนกว่าจะได้เงิน ระหว่างนั้นจะเอาอะไรกิน เป็นเหตุให้ผมต้องกลับไปคิดใหม่อีกรอบ
คราวนี้ยกขบวนไปดูงานปลูกผักสลัดที่วังน้ำเขียว ปรากฏว่าได้ผล
ชาวบ้านชอบใจเอาด้วย ก็ลองประเมินความเป็นไปได้เรื่องสภาพพื้นที่และภูมิอากาศของหนองรี ที่ดินติดภูเขา อากาศดีไม่แพ้วังน้ำเขียว ถ้าเราลองปลูกผักสลัดบ้าง ก็น่าจะเป็นไปได้เพราะผักสลัดดูแลง่าย รายได้งาม
พวกเราก็ลงมือทำโดยชวนชาวบ้านราว 10 ครอบครัวมารวมกลุ่มกันตั้งเป็น
“วิสาหกิจชุมชนสวรรค์สีเขียวหนองรี”
เราตั้งชื่อนี้เพราะคิดว่า “สวรรค์เราสร้างเองได้ ไม่ต้องรอใครมาสร้างให้”
และเมื่อเราปลูกผักปลูกพืช ก็ต้องเป็นสรรค์สีเขียว”
พื้นฐานอาชีพดั้งเดิมของชาวบ้านก็ปลูกผักเศรษฐกิจอยู่แล้ว
ซึ่งในอดีตมีการใช้สารเคมีต่างๆแต่ส่วนหนึ่งหยุดใช้มาหลายปี จึงง่ายต่อการปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบอินทรีย์ โดยปลูกผักสลัดหลายอย่าง คือ คอส กรีนโอ๊ค
เรดโอ๊ค เรดคอรัลและผักกาดแก้ว
นอกจากนี้ยังทดลองปลูกอย่างอื่น เช่น ร็อคเก็ต สปีแนช และผักเศรษฐกิจบางอย่าง
เช่น ผักบุ้ง คะน้า มะเขือยาว พริกขี้หนูสวน ฝรั่งกลม สาลี่ เป็นต้น
ชาวบ้านเริ่มชักชวนกันมาเข้ากลุ่มเพิ่มขึ้น มีการพูดคุยกันเพื่อวางแผนการผลิตทุกสัปดาห์พร้อมทั้งหารือแลกเปลี่ยนปัญหาการผลิตด้วย
คุณอนุรักษ์และคุณสมพรหวังว่าเกษตรอินทรีย์จะส่งผลให้ชุมชนเห็นว่า
อาชีพเกษตรกรมีศักดิ์ศรี
มีรายได้พอเลี้ยงครอบครัวและมีความสุขได้ด้วย ถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการชักชวนแรงงานจากอุตสาหกรรมให้กลับสู่ภาคเกษตรกรรมโดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่คิดถึงแต่อาชีพในภาคอุตสาหกรรม
การบริหารจัดการปัจจัยสนับสนุนการผลิตเป็นหัวใจสำคัญของการเดินทางสู่เกษตรอินทรีย์
ที่หนองรีโชคดีเรื่อง “ปุ๋ยอินทรีย์”
เพราะกลุ่มมีทุนด้านโรงงานผลิตปุ๋ยจากวัตถุดิบ เช่น มูลเป็ด แกลบเผา
ปลาป่นได้จากผู้ผลิตในท้องถิ่นทำให้ต้นทุนราคาถูกเพียงกิโลละ 2 บาทและเจ้าของโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ก็เป็นอดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองรี
ทำให้การผลิตและจัดหาปุ๋ยอินทรีย์ให้สมาชิกง่ายขึ้นทั้งยังนำไปสู่การเชื่อมโยงกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย ส่วนเมล็ดพันธุ์นั้น กลุ่มสนับสนุนให้แก่สมาชิกทุกรายก่อน เมื่อจำหน่ายผักได้
มีรายได้แล้วจึงค่อยทยอยใช้คืน
คุณอนุรักษ์พยายามจัดหาเมล็ดพันธุ์ผักสลัดแปลกใหม่มาให้สมาชิกทดลองปลูกอยู่เสมอเพื่อทดลองความต้องการบริโภคของตลาดไปด้วย
ด้านชีวภัณฑ์ต่างๆที่ใช้ทดแทนสารเคมีนั้น กลุ่มผลิตใช้กันเองโดยได้ความรู้จากการไปศึกษาดูงานที่เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษ
อ.วังน้ำเขียว
และชมรมเกษตรอินทรีย์ธรรมชาติวัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี เช่น การทำสมุนไพรไล่แมลง
น้ำหมักชีวภาพ และฮอร์โมนบำรุงต่างๆ
ผลิตไตรโคเดอร์มา เชื้อราบิวเวอร์เรีย
โดยสมาชิกมารวมกันผลิตและเก็บรักษาไว้ที่พื้นที่ส่วนกลางของกลุ่มเพื่อให้สมาชิกได้ร่วมเรียนรู้และนำไปใช้ถูกวิธี การแก้ปัญหาโรคแมลงและเทคนิคการผลิต
ก็ค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตโดยคุณอนุรักษ์และคุณสมพร รวมทั้งวิธีการทำให้ผักสด กรอบ และรสชาดดี ทั้งนี้
ร่วมกันเรียนรู้สาเหตุและวิธีแก้ไขร่วมกันที่แปลงผักเลย
ทำให้สามารถแก้ปัญหได้รวดเร็วทันเวลาและเชื่อมโยงผู้เชี่ยวชาญจากแหล่งต่างๆมาให้คำปรึกษาอยู่เสมอ
เช่น หมอดินจากปราจีนบุรี เป็นต้น
กลุ่มเริ่มเปิดตัวจำหน่ายเมื่อต้นเดือนเมษายน ปี 2555
โดยวางจำหน่ายที่ตลาดสินค้าเกษตรหน้าศาลาว่าการอ.เมืองชลบุรี ทุกวันศุกร์
สัปดาห์ละครั้ง คุณสมพรกล่าวว่า “ตลาดที่นี่เรียกเราว่า “เจ้าผักแพง เราก็ไม่คัดค้านเพราะผักที่เราขายมีราคาประกันให้สมาชิก คนปลูกเขาต้องทำงานหนักเพื่อให้ผักได้มาตรฐาน เราต้องให้ความรู้และข้อมูลกับผู้บริโภคให้เข้าใจชัดเจนถึงมาตรฐานการผลิต ทำให้มีลูกค้าประจำมาอุดหนุน ซึ่งเป็นเหมือนญาติพี่น้องกัน มาคุยมาถามมาเยี่ยมเราที่สวน”
ทางกลุ่มตั้งใจทำการตลาดที่เมืองชลบุรีและเมืองพัทยาก่อนเพราะเห็นว่า
เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อและกำลังการบริโภคมาก
รวมทั้งช่วยลดค่าการจัดการด้านขนส่งผักและเป็นการปลูกขายกันเองในท้องถิ่น
การตั้งราคาขายและรับซื้อจากเกษตรกรในกลุ่มใช้วิธีคิดร่วมกันและการมีส่วนร่วมรับผิดชอบของผู้ผลิต ตลาด (รวมคนบริหารจัดการ) และผู้บริโภค
เรียกว่า ระบบแฟร์เทรด (Fair
Trade) โดยทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมดูแลและได้ประโยชน์ร่วมกันตั้งแต่ต้นทางการผลิตไปจนถึงปลายทางการบริโภค ต่อมากลุ่มได้พัฒนาการผลิตที่มีคุณภาพดี สม่ำเสมอจึงขยายตลาดไปสู่ระบบส่งตรงถึงผู้บริโภคในกรุงเทพฯ
ซึ่งเป็นการสั่งซื้อล่วงหน้าผ่านเฟซบุ๊ค (http://www.facebook.com/GreenHeavenNongree)
(credit photo : https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQHOjBWXSW0wzer3ztxmJaWOadsxhkhBA1pQPJWW08WFXb0MpSH)
“ผักกล่องบ้านนา”
เป็นอีกกรณีตัวอย่างที่กลุ่มชาวบ้านผู้ปลูกผักอินทรีย์ที่บ้านนา ต.หัวไผ่
อ.เมืองอ่างทองได้เชื่อมความสัมพันธ์กับผู้บริโภคโดยดำเนินการร่วมกับโครงการคนไทยบริโภคผักไร้สารพิษด้วยกลไกการเชื่อมโยงเกษตรกร ผู้ประกอบการ
และผู้บริโภคในรูปแบบต่างๆของเครือข่ายตลาดสีเขียวที่สนับสนุนเงินทุนโดย สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) การเรียนรู้ร่วมกันทั้งเกษตรกร ผู้บริโภค ผู้ประกอบการอย่างร้านสวนเงินมีมาและร้านเฮลธ์มี ยังทำอย่างต่อเนื่อง ทุกเดือนจะมีกิจกรรม “โรงเรียนเกษตรกร”
ให้มาเรียนรู้การผลิตเพื่อเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ได้อย่างยั่งยืน และพยายามหาวิธีการจัดการหลังเก็บเกี่ยวเพื่อให้ผักเก็บรักษาความสดได้นานขึ้น ในขณะที่ผู้บริโภคก็ปรับตัวเรียนรู้วิธีบริโภคผักพื้นบ้านและทดลองทำอาหารตามเมนูที่เกษตรกรเขียนแนบมาให้ในกล่องผัก
รวมทั้งช่วยสะท้อนมุมมองต่างๆที่เป็นประโยชน์แก่กลุ่มเกษตรกรและจุดรับส่งผัก
กิจกรรมการเก็บผักที่บ้านนาเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ของทุกวันอาทิตย์ ชาวบ้านจะลงสวนเก็บผักจากสวนตัวเอง ผักแต่ละชนิดมีช่วงเวลาเก็บแตกต่างกัน โดย
ผักกินยอด เช่น ผักบุ้ง ผักชะอม ตำลึง
เหมาะจะเก็บช่วงเช้าเพราะหากเก็บช่วงแดดจัด
ยอดผักจะดำ แต่ผักใบอย่างคะน้า กวางตุ้ง จะเก็บช่วงแดดร่มลมตก
หลังจากนั้นทุกคนจะนำผักที่เก็บได้มารวมกันไว้ที่บ้านป้าบุญมากเพื่อจัดการคัด
ล้างและบรรจุกล่องก่อนนำส่งให้ผู้บริโภคซึ่งส่วนใหญ่ทำโดยผู้อาวุโสทั้งหลาย
นอกจากนั้นก็มีเด็กๆมาช่วยเป็นลูกมือและแรงเชียร์ด้วย ในตอนเช้ามืดวันจันทร์
พี่อนันต์จะทำหน้าที่ขับรถนำผักจากบ้านนามากรุงเทพฯตั้งแต่ตีสามครึ่ง แวะส่งพี่เกษพร้อมผักที่ตลาดนัดสีเขียว โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ แล้ววิ่งตรงมานำส่งผักที่ร้านเฮลธ์มี
ซอยราษฎร์บูรณะ 30 และร้านสวนเงินมีมา ถนนเฟื่องนคร
หลังกระทรวงมหาดไทย
ร้านทั้งสองแห่งนี้มีหน้าที่ช่วยรับผักและกระจายผักไปยังกลุ่มผู้บริโภคที่สมัครเป็นสมาชิกรับผักพร้อมทั้งช่วยเก็บเงินให้กับเกษตรกร
รวมทั้งรับผักมาเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารจำหน่ายที่ร้านอีกด้วย นอกจากนั้น
ที่ร้านเฮลธ์มีซึ่งเป็นร้านอาหารมังสวิรัตยังเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้การปลูกผัก
ชื่อ Organic Way และมีบริการจัดส่งผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคทั้งนม
ไข่ไก่ ขนมปังและผลิตภัณฑ์อื่นๆเช่นเดียวกับร้านสวนเงินมีมา
ในระยะแรก เกษตรกรยังไม่ชำนาญทำให้ผักเน่าเสียง่าย ส่วนผู้บริโภคก็ไม่คุ้นเคยผักพื้นบ้าน ไม่รู้ว่าจะทำกินอย่างไร ทำให้บางรายทดลองรับผักได้พียง 2-3 ครั้งก็เลิกไป
แต่ผู้บริโภคหลายรายก็น่าชื่นชมที่ยังคงเป็นสมาชิกส่งแรงใจให้เกษตรกรและช่วยสะท้อนปัญหา ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อให้เกษตรกรหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาต่อไป คุณเข็ม จริยา หนึ่งในผู้รับผักกล่องบ้านนาเล่าให้ฟังว่า
“สมาชิกที่บ้านต้องการบริโภคผักไร้สารพิษ
ในช่วงแรกที่รับผัก
มักพบผักเน่าเสียเนื่องจากเปียกน้ำจากน้ำแข็งที่แช่รวมมาในกล่อง จึงบอกปัญหานี้ไปที่ร้านเฮลธ์มีซึ่งจัดส่งผักให้
ทางร้านก็บอกต่อไปยังเกษตรกรและหาทางแก้ปัญหาด้วยกัน ปัจจุบันการแพ็ค
การห่อผักโดยใช้ใบตองช่วยลดปัญหาผักเสียเร็วได้เยอะ ทุกวันนี้เปิดกล่องมาก็รู้เลยว่า
จะต้องทำอะไรกินดี ผักอะไรก็ทำกินได้ แต่ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็หั่นผักเป็นชิ้นๆ
ใส่กระเทียม ใส่พริก ตั้งไฟผัดๆก็กินได้เลย”
คุณปนัสยา บอกว่า ต้องการสนับสนุนเกษตรกรให้ทำเกษตรไร้สารพิษ แม้ว่า
การออกไปเลือกซื้อผักตามตลาดหรือร้านค้าจะสะดวกกว่าเพราะมีให้เลือกได้ตามชนิดและปริมาณที่ต้องการ ผักหลายอย่างที่ทานไม่เป็น ก็พยายามทำตามเมนูที่เกษตรกรแนบมาให้หรือแจกจ่ายให้เพื่อนบ้าน
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเกษตรกรกลุ่มนี้ต่อไป
เรื่องราวต่างๆที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆแต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีของความหวังที่จะช่วยให้ระบบเกษตรกรรมยั่งยืนสามารถดำเนินการต่อไปได้โดยการเรียนรู้ร่วมกันของเกษตรกร
ผู้บริโภคและผู้ประกอบการตลาด
เพื่อให้ผู้คนสามารถอยู่ร่วมกันและดำรงอยู่ได้อย่างมีสุขภาวะท่ามกลางความสมดุลของระบบนิเวศสิ่งแวดล้อม......พบกับเรื่องดีๆที่ผมจะนำมาเล่าสู่กันฟังอีกในฉบับหน้าครับ
.........................................................
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น